การเลี้ยง ชิสุห์ทอย
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พุดเดิ้ล (poodle)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
สุนัข พุดเดิ้ล ได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก และขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลายๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้เร็ว
พุดเดิ้ล (Poodle) มีถิ่นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนีตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 แต่ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจริงๆ เป็นประเทศเยอรมนีหรือประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ประเทศต่างนิยมเลี้ยง พุดเดิ้ล ไว้เพื่อใช้งาน "เก็บของในน้ำ" เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ "นกเป็ดน้ำ" ที่ชาวไร่ชาวนายิงได้
ในประเทศเยอรมนี พุดเดิ้ล ถูกเรียกว่า "Pudel" หรือ "Pudelin" ซึ่งแปลว่า "กระโดดน้ำ" (สันนิษฐานกันว่าชื่อ Poodle ในภาษาอังกฤษที่เราเรียกกันนั้นก็น่าจะมีรากศัพท์มาจากคำว่า Pudel หรือ Pudelin ส่วนในประเทศฝรั่งเศส พุดเดิ้ลเป็นที่นิยมอย่างสูงมากจนได้การยกย่องให้เป็นสุนัขประจำชาติ ที่นี่...พวกมันมีฉายาว่า "Caniche" ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก "chien canard" แปลว่า "สุนัขล่าเป็ด"
และเนื่องจากถูกเลี้ยงไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้งาน การตัดขนของ พุดเดิ้ล ในสมัยแรกๆ จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำเป็นหลัก ไม่เน้นไปที่ความสวยงาม แต่อย่างที่รู้ๆ กันว่าฝรั่งเศสนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นและศิลปะนานาชนิด ในเวลาต่อมาการตัดแต่งทรงขนของ พุดเดิ้ล จึงได้เกิดการพัฒนาเป็นทรงต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้ สุนัข พุดเดิ้ล น่าหลงใหลมากขึ้นเป็นทวีคูณ

พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ
สุนัข พุดเดิ้ล แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. พุดเดิ้ลทอย (Toy Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 12 นิ้ว หนักประมาณ 6 กิโลกรัม
2. พุดเดิ้ล มินิเจอร์ (Miniture Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดกลาง สูงประมาณ 11-15 นิ้ว หนักประมาณ 11 กิโลกรัม
3. พุดเดิ้ล สแตนดาร์ด (Standard Poodle) เป็นพุดเดิ้ลขนาดใหญ่ สูงประมาณ 18-22 นิ้ว หนักประมาณ 20 กิโลกรัม
แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ของ พุดเดิ้ล ให้เล็กลงไปอีก จนได้ขนาด พุดเดิ้ล น้องใหม่ที่มีชื่อว่า พุดเดิ้ลทีคัพ (Tea-Cup Poodle) เป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูล พุดเดิ้ล จะมีส่วนสูงไม่เกิน 8 นิ้ว และน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5 กิโลกรัมเมื่อโตเต็มที่ พุดเดิ้ลทีคัพ นี้แม้ยังไม่ได้รับการรับรองจากสถาบันสุนัขใดๆ แต่สำหรับกลุ่มผู้เลี้ยง พุดเดิ้ล แล้วกลับตรงกันข้าม เพราะ พุดเดิ้ลทีคัพ กลายเป็นที่นิยมไปทั่วและเป็นที่ต้องการอย่างสูง แม้ว่าจะมีราคาค่าตัวที่แพงลิบลิ่ว
อย่างไรก็ตาม พุดเดิ้ล ทั้งหลายที่กล่าวมาจะมีมาตรฐานสายพันธุ์ที่เหมือนกันหมด ทั้งสภาพขน สี นิสัยใจคอ และอื่นๆ จะต่างกันตรงที่ "น้ำหนัก" และ "ความสูง" เท่านั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยใจคอของเจ้า พุดเดิ้ล ทุกขนาด จะเป็น สุนัข ที่น่าหยิกน่าหมั่นไส้ แสนประจบ ซน และขี้เล่น พุดเดิ้ล พันธุ์เล็กกับ พุดเดิ้ลทอย จะไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้า และมีความอดทนกับเด็กน้อยกว่าพันธุ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม พุดเดิ้ล เป็นสุนัขที่ฝึกง่าย สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งคุณก็ควรฝึกสอนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วคุณจะเห็นว่ามันมีความสามารถในการทำตามคำสั่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้อเสียของมันก็คือมันมีนิสัยชอบเห่า แต่คงเพราะตัวเล็กไปหน่อยจึงได้แต่เห่าอย่างเดียว ทำอะไรใครไม่ได้

พุดเดิ้ล (poodle)

อาหารการกินของ สุนัข พุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะ พุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก
นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้ อาหารสุนัข ยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาทีเพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้
นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของ สุนัข พูเดิ้ล ด้วยว่ามีฝ้าขาวๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

โรคที่มักพบใน พุดเดิ้ล จะคล้ายๆ กับชิสุ คือเรื่องตา เนื่องจากเป็นน้องหมาตาโตแบ๊ว เหมือนๆ กันจึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืองและเป็นโรคตาได้ง่าย แต่สำหรับ พูเดิ้ล แล้วสายพันธุ์ของเขามีที่มีปัจจัยโน้มนำที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจกได้มากกว่าสุนัขพันธุ์อื่นๆ เจ้าของสามารถสังเกตอาการป่วยของพูเดิ้ลเมื่อป่วยด้วยโรคตา สังเกตได้จากเริ่มตาแดง ตาฝ้า บางครั้งจะมีน้ำตาเอ่อ มีขี้ตามากผิดปกติ ชอบเกาตาหรือไถตากับพื้นหรือฝาผนัง ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดสุด คือ การเดินชนของ เดินขึ้นบันไดลงบันไดไม่ค่อยถนัด หาชามข้าวไม่พบ เป็นต้น ซึ่งหากพบมีอาการเหล่านี้ควรนำมาพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและได้รับการรักษาอย่างตรงจุด
นอกจากโรคเกี่ยวกับตาแล้ว พุดเดิ้ล ยังมักจะมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจเป็นโรคประจำกายอีกหนึ่งโรค โรคหัวใจ มีสาเหตุมาจากความผิดปกติในโครงสร้างและหน้าที่ของหัวใจ หรือความผิดปกติของหัวใจตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งอาการของ สุนัข ที่มีปัญหา โรคหัวใจ จะมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด เบื่ออาหาร หรือกินอาหารได้น้อยลง ท้องกาง ไอแห้งๆ และมักไอเวลากลางคืน มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนแรง หายใจลำบาก เหงือกซีด เป็นลมหมดสติ
ทั้งนี้ สุนัข พุดเดิ้ล ที่เป็นโรคหัวใจ สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ แต่จะต้องดูแลเรื่องการให้ยาอย่างใกล้ชิด ควรงดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้สัตว์เหนื่อย เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และสิ่งสำคัญคือ ระวังในเรื่องการให้อาหารและน้ำที่มีส่วนผสมของเกลือ ต้องมีปริมาณเกลือต่ำ
นอกจากโรคที่กล่าวมานี้ ยังมีโรคอื่นๆ ที่สามารถคุกคาม พุดเดิ้ล ตัวโปรดของคุณได้ การได้รับวัคซีนต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็นถือเป็นเรื่องสำคัญของ สุนัข ทุกพันธุ์ รวมทั้งอาหาร การเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ รวมถึงสุขภาพจิต เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ พูเดิ้ล ของคุณเป็นสุนัขที่ดีพร้อมทั้งร่างกายและอารมณ์
วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
10 สุนัขพันธุ์เล็ก น่ารัก
ที่คนนิยมเลี้ยง
สำหรับใครที่อยากจะเลี้ยงน้องหมาน่ารัก ๆ ไว้สักตัว แต่ทว่าเนื้อที่ภายในบ้านนั้นมีจำกัด หรือไม่ก็มีเรื่องของปัจจัยต่าง ๆ นานาที่ไม่สะดวกจะเลี้ยงสุนัขตัวโต ๆ เหล่าบรรดาสุนัขสายพันธุ์เล็กทั้งหลาย จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าตูบสายพันธุ์เล็กก็มีมากมายหลากสายพันธุ์ให้ได้ดูแลอีก ฉะนั้นแล้ว เราลองมาดูกันหน่อยว่า มีสุนัขพันธุ์เล็กตัวไหนบ้างที่ผู้คนนิยมเลี้ยงกัน แล้วสายพันธุ์ไหนที่เหมาะและถูกชะตากับคุณผู้อ่านมากที่สุด พร้อมวิธีการดูแลสุนัขพันธุ์เล็กแต่ละสายพันธุ์ ด้วย 10 สุนัขสายพันธุ์เล็ก น่ารัก ที่คนนิยมเลี้ยงตามนี้เลย

1. ชิสุ
อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์หมาน้อยตากลมโต ผูกโบว์ที่หน้าผาก มีขนยาวสวย ดูสง่างาม ขนาดพอเหมาะ พาไปไหนมาไหนได้ไม่ลำบาก แถมยังนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ เลยทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลได้ปลื้มเจ้าสุนัขพันธุ์ "ชิสุ" และเลี้ยงเป็นสมาชิกสี่ขาประจำครอบครัวกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมว่าประวัติความเป็นมาของ สุนัข ชิสุ น่ะ เป็น ถึง 1 ใน 3 สุนัข ชั้นสูงจากจักรพรรดิจีนเชียวนะ
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิสุ
ชิสุ เป็น สุนัข ขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม (หรือราว 10 - 16 ปอนด์) ส่วนสูงประมาณ 25 - 27 ซม. (หรือราว 10 - 11 นิ้ว)
ทั้งนี้ ชิสุ มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ชิสุ ยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน ชิสุชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออกไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง
การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ชิสุ
ชิสุมีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับชิสุ คือโรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ โดยเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูของชิสุ อย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของมันโดยเฉพาะ ส่วนโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชิสุ ได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน
นอกจากนี้ ขนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสวยงามของชิสุ โดยเฉพาะ ชิสุเป็นสุนัขขนยาวที่จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขนเส้นเล็กและพันกันได้ง่าย หากไม่รู้จักวิธีการรักษาขนให้ดี ขนของชิสุจะพันกันและมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ การแปรงขนอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยให้ผิวหนังและขนสะอาดของชิสุเป็นเงางาม เพราะมีการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นผมได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นการช่วยขจัดรังแคและสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังของชิสุด้วย
อาหารที่เหมาะกับเจ้าชิสุสุดสวย ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะสุนัขมีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะหนวดเครา เหม็นคาว ทำให้ต้องทำความสะอาดกันทุกครั้งไป และหากล้างออกไม่หมดก็จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรค อีกทั้งถ้าให้อาหารกระป๋องต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อสุขภาพของชิสุของคุณได้ ดังนั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นอาหารเม็ด ทั้งนี้ การเลือกซื้อควรเลือกประเภทสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก โดยเลือกดูให้เหมาะกับช่วงวัยของชิสุด้วย เช่น ถ้าเป็นอาหารลูกสุนัขข้างถุงจะพิมพ์ไว้ว่า Puppy มีโปรตีนมากกว่า เม็ดจะเล็กกว่า และจะแพงกว่าอาหารสุนัขโตนิดหน่อย

2. ปอมเมอเรเนียน
หากพูดถึงสุนัขตัวเล็ก ๆ ขนฟู ๆ หางเป็นพวง จมูกแหลม ๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียนมีต้นตระกูลมาจากสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน
ปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์ เป็นสุนัขที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของปอมเมอเรเนียนนี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว
การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน
การดูแลขนของปอมเมอเรเนียนต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ปอมเมอเรเนียนบ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด
นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับสุนัขปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจากปอมเมอเรเนียนง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน

3. พุดเดิ้ล
สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลกและขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ลสายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลาย ๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เร็ว
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล
พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์พุดเดิ้ล
อาหารการกินของสุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะพุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก
นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้อาหารสุนัขยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของพุดเดิ้ลจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะพุดเดิ้ลมีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อย ๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาที เพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้
นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ลส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของพูเดิ้ลด้วยว่ามีฝ้าขาว ๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

3. ปั๊ก
ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ
ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปั๊ก
สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ปั๊ก
แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการดูแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปั๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป
เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง
4. มอลทีส (Maltese)
ลักษณะทั่วไป
มอลทีส หรือ มัลทีส เป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริงแจ่มใส เรียบร้อย และเชื่อฟังคำสั่ง สุภาพอ่อนโยน มีความเป็นมิตรกับคนทั่วไปชอบที่จะให้อุ้มหรือกอดอยู่เสมอ ในบางครั้งอาจจะเกรี้ยวกราดบ้างกับสุนัขด้วยกัน มอลทีสเป็นสุนัขที่มีนิสัยอิจฉาชอบประจบเจ้าของ รักเจ้าของมาก ชอบปกป้องเจ้านายหรืออาณาเขตของมันเองออดอ้อนออเซาะ ไม่เป็นรองใครมีความฉลาดแสนรู้ แต่จิตใจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวไม่ยอมใครดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงรวมไว้กับสุนัขตัวโตๆ เพราะจะมีโอกาสรอดไม่ถึงแก่ตาย โดยปกติแล้วไม่ควรทิ้งให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานานๆ มอลทีส ไม่ใช่สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน แม้ว่าจริงๆแล้ว เขาก็เฝ้าบ้านได้ดีและก็สามารถฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งได้ดีเช่นกัน มอลทีส เป็นสุนัขที่มีความรักให้กับคุณอย่างมากมาย ทำให้คุณชื่นใจทุกครั้งด้วยการคอยต้อนรับคุณที่ประตูเป็นสุนัขที่ฉลาดและชอบให้เอาใจ
ความเป็นมา
สุนัขมอลทีสมีถิ่นกำเนิดในประเทศ MALTA (แถบทะเลเมอร์ดิเตอริเนียน) มานานเกือบ 2800 ปีแล้ว นักเขียนหรือนักวาดภาพในสมัยโบราณมักนิยมเขียนเรื่องราวหรือภาพของสุนัขพันธุ์นี้ และเป็นที่นิยมเลี้ยงของผู้คนสมัยนั้น และจนกษัตริย์อียิปต์โบราณและ QUEEN VICTORIA ด้วย MALTESE เป็นสุนัขที่มีขนมีขาวสะอาดมีสุขภาพดี คล้ายสุนัขใหญ่กลุ่ม SPANIEL ในปี ค.ศ. 1607 มีการซื้อขายพันธุ์ MALTESE ตัวหนึ่งสูงถึง 2000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 50000 บาท
ลักษณะนิสัย
มอลทีส ไม่ใช่สุนัขที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน แม้ว่าจริงๆแล้ว เขาก็เฝ้าบ้านได้ดีและก็สามารถฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งได้ดีเช่นกัน มอลทีส เป็นสุนัขที่มีความรักให้กับคุณอย่างมากมาย ทำให้ผู้เลี้ยงชื่นใจทุกครั้งด้วยการคอยต้อนรับคุณที่ประตูเป็นสุนัขที่ฉลาดและชอบให้เอาใจ และถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็กล้าหาญ ซื่อสัตย์และน่ารัก ถือเป็นสุนัขที่สุภาพอ่อนโยนมากในหมู่สุนัขเล็กด้วยกัน แต่ก็กระตือรือร้น ร่าเริง กระฉับกระเฉงและขี้เล่น
การดูแล
มอลทีส จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน แต่พวกเขาชอบอยู่ในบ้านซึ่งจะได้ใกล้ชิดกับเรามากกว่า ถ้าเลี้ยงเขาในแฟล็ตหรือคอนโด ก็ควรจะจูง เขาไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง มอลทีส เป็นสุนัขประกวดที่สวยงาม หากไม่เล้ียงไว้ประกวดก็สามารถเล็มแต่งขนเขาสั้นลงเพื่อดูแลรักษาง่ายๆ แต่เราต้องแปรงขนเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ขนพันกัน อาบน้ำให้น้องมอลทีสซักสัปดาห์ละครั้ง พร้อมทั้งเป่าขนให้แห้งเสมอ
อุปกรณ์สำคัญสำหรับสุนัขพันธุ์มอลทีสนี้ได้แก่ แปรงสำหรับแปรงขนดีๆ หวีซี่เล็ก กรรไกรสำหรับ แต่งขนบริเวณใต้ฝ่าเท้า รวมทั้งกรรไกร ตัดเล็บสุนัข และกรดบอริคเพื่อเช็ดรอยคราบน้ำตา เป็นต้น
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขไว้เป็นเพื่อน มีเวลาพาน้องหมาไปตัดแต่งทรงขน ดูแลสุขภาพผิวเป็นอย่างดี และที่สำคัญมีเวลาแปรงขนน้องหมาเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ขนน้องหมาไม่พันกันเป็นสังกะตัง และเงางาม
ข้อควรจำ
แม้จะจัดสุนัขพันธุ์นี้อยู่ในกลุ่มทอย มอลทีส ก็ยังต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดูแลเรื่องการให้อาหารอย่างเหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่อ้วนเกินไป
มาตรฐานสายพันธุ์
ขนาด ประมาณ 4 - 6 ปอนด์
ศรีษะ มีความยาวปานกลาง หัวกะโหลกลักษณะกลม
ฟัน ขาว แข็งแรง ขบแบบเสมอหรือขบแบบกรรไกร
ปาก มีความยาวปานกลาง ขนาดของโคนปากเรียวสู่ปลายจมูกเล็กน้อย
ตา สีดำ ลักษณะกลม ขอบตาดำ ทำให้ดูตื่นตัวอยู่เสมอ
หู โคนหูอยู่ในระดับต่ำ หูตก บริเวณหูมีขนหนาและยาว
จมูก มีมุมหักพอประมาณ สีดำ
คอ มีความยาวพอเหมาะ
อก ค่อนข้างลึก
ลำตัว ค่อนข้างสั้น ความยาวของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความสูงของลำตัว เส้นหลังตรงขนานกับพื้น
เอว แข็งแรง เอวกิ่วเล็กน้อย
ขาหน้า มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้ามีขนยาวเท้ามีขนาดเล็กค่อนข้างกลม นิยมตัดขนบริเวณเท้าเพื่อไม่ให้รุ่มร่าม
ขาหลัง มีกระดูกใหญ่พอเหมาะ ข้อเท้าแข็งแรงทำมุมพอประมาณเท้ามีขนาดเล็ก เท้ากลม นิยมตัดบริเวณเท้า
หาง ค่อนข้างยาวหางมีขนยาว หางพาดอยู่บนหลัง
ขน มีขนชั้นเดียว ขนยาวเหยียดตรง ขนฟู ขนไม่ตั้ง บริเวณหัวยาวอาจมัดเป็นจุก หรือหวีปัดลงก็ได้มีสีขาวทั้งตัว
สีขน ขนสีขาวบริสุทธิ์

5. ชิวาวา
จะเห็นได้ว่าเซเลบฯในฮอลลี้วู้ดหลายคนชอบหิ้วเจ้ามะหมาตัวเล็กกระจิ๊ดริดไว้ในกระเป๋าข้างกาย เจ้ามะหมาที่ว่านั่นจะเป็นพันธุ์ใดไม่ได้เลย หากไม่ใช่พันธุ์ชิวาวา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และในปัจจุบันสุนัขพันธุ์ชิวาวากำลังเป็นที่นิยมกันมากของเหล่าผู้ที่รักสุนัข เพราะด้วยขนาดตัวของมันและอุปนิสัยที่ขี้เล่น น่ารัก ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำเจ้าชิวาวามาเลี้ยงนั่นเอง
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิวาวา
หลาย ๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่น ๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่จากการสำรวจของเดลิเมล์ พบว่า ชิวาวา สามารถสร้างความเสียหายให้เจ้าของได้เฉียด 40,000 บาท ตลอดช่วงอายุขัยของมัน เรียกได้ว่า เป็นรองแค่สุนัขพันธุ์เกรทเดนที่สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยของเจ้าของเฉลี่ย 41,540 บาท โดยอาจอ้างได้ว่าเป็นเพราะขนาดตัวของสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ชิวาวา
สุนัขพันธุ์ชิวาวาเพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่าง ๆ
พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง

6. เฟรนช์ บูลด็อก
เป็นเรื่องขำขำที่ว่า ท่าไม้ตายของเจ้าหมาที่ชื่อ เฟรนช์ บูลด็อก นั้นเป็นหน้านิ่ง ๆ ที่ดูแล้วไม่รู้ว่าอารมณ์ไหน เพื่อที่จะหลอกล่อให้เราเข้าใกล้ เพราะหากเผลอสัมผัส ลูบไล้เจ้า เฟรนช์ บูลด็อก เมื่อใด รับรองได้ว่าคุณจะรู้สึกเหมือนโดนน็อกด้วยตาโต ๆ หน้าย่น ๆ หูกางคล้ายค้างคาวที่มองไปมองมากลับดูมีเสน่ห์ และสุดท้ายก็ตกเป็นทาสรักของเฟรนช์ บูลด็อกอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก
ฉลาด กล้าหาญ ร่าเริง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย และตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นมิตร เข้ากับคนและสัตว์อื่น ๆ ได้ดี เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขที่เห่าน้อย ไม่ทนต่ออากาศร้อน โดยเฉพาะตัวที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่สำหรับสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก ที่เกิดในเมืองไทยจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสภาวะอากาศเท่าไรนัก
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก
ด้วยความที่เป็นสุนัขขนสั้น เฟรนช์ บูลด็อก จึงไม่ต้องการการดูแลมาก แต่เจ้าตูบจะผลัดขนในช่วงหน้าร้อน การออกกำลังกายทำได้ง่าย โดยพามันเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน หรือโยนลูกบอลเล่นกับมัน นอกจากนี้ มันไม่ชอบการถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญ กับเรื่องระบบการหายใจของสุนัขด้วย หายใจทางปากถี่ขึ้นจนผิดปกติ ควรรีบนำมันเข้าที่ร่มหรือห้องแอร์โดยเร็ว และหากมั่นใจว่ามันอาจจะเป็นฮีทสโตรก (ชักเนื่องจากความร้อน) ควรลดอุณหภูมิร่างกายของมันให้เร็วที่สุด เช่น เอาน้ำราด เอาน้ำแข็งไปโปะ แล้วพาไปหาหมอให้ฉีดยากันชักโดยเร็ว
ส่วนเรื่องการกินข้าวของเจ้าหมาพันธุ์นี้ หากเจ้าของกินข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของมันหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้าวด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วมันก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน มันก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา (อิอิ)
7. แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย
เจ้าตูบตัวจ้อย ฉลาด น่ารัก แต่แอบซนสุด ๆ อย่างสุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะมันเหมาะสำหรับเลี้ยงในบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะแจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ หรือ เจ้าของ ดังนั้น จึงเหมาะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา และด้วยบุคลิกอันกระฉับกระเฉงของมันจะทำให้คุณเพลินกับมันไปได้อย่างง่ายดาย
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย
สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ
นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย
ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง
แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป
แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย

8. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
หากพูดถึงสุนัขโนเนมแห่งท้องทุ่งและเหมืองถ่านหินอ้างว้างห่างไกลเมืองยอร์คเชียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีชีวิตประจำวันเป็นสุนัขใช้งาน รับหน้าที่ในการตามล่าและไล่จับเจ้าหนูตัวร้ายจอมป่วน... แต่มาวันนี้ หากลองพิมพ์ชื่อของเจ้าตูบแสนซนนี้ลงในอินเทอร์เน็ต คงมีเรื่องราวมากมายปรากฎขึ้นให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว หลายคนคงนึกออกแล้วใช่ไหมล่ะว่า เรากำลังพูดถึงเจ้าสุนัขตัวน้อยขนยาวสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier) หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ยอร์คกี้" นั่นเอง
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
ยอร์คเชียร์ เป็นสุนัขตัวเล็กที่เปี่ยมด้วยพลัง ชอบเล่น และอยากรู้ อยากเห็น นอกจากนั้น ยังชอบผจญภัย รักอิสระ และไม่ค่อยรู้จักความกลัว ด้วยความเป็นสุนัขที่มีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ทำให้ยอร์คเชียร์มักไม่สนใจว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิดริดแค่ไหน เมื่อเจอคนแปลกหน้า ยอร์คเชียร์จึงพร้อมที่จะเห่าเตือนเจ้าของเสมอ
สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เหมาะกับคนทุกช่วงอายุ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับ ยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับมันแรง ๆ ก็อาจทำให้มันบาดเจ็บได้ง่าย เพราะมันตัวเล็กและบอบบาง บางทีอาจอันตรายถึงชีวิต หรือหาก ยอร์คเชียร์ ถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็จะทำให้นิสัยของมันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน หากพ่อแม่รู้จักสอนลูก ๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์อย่างดีแล้ว มันก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน
การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
การอาบน้ำให้สุนัขยอร์คเชียร์ อาจทำแค่ 1 ครั้งต่อเดือน ก็เพียงพอ การอาบน้ำควรทำในสถานที่ที่อากาศอบอุ่น ก่อนอื่นต้องใช้สำลีอุดหูทั้งสองข้างเพื่อกันน้ำเข้าหู จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งรองบริเวณอกของเขาเพื่อจับให้มันยืนขึ้น (หากเป็นไปได้ ควรหาผ้ารองกันลื่นมาวางรองพื้นเพื่อไม่ให้ขาของมันลื่นไถลไปมาเวลาที่คุณจับมันยืน) เปิดน้ำจากฝักบัวอย่าให้แรงมากนัก ค่อย ๆ รดตัวมันให้เปียกจนทั่ว ชโลมแชมพูให้ทั่วตัวและถูเบา ๆ ล้างทำความสะอาดบริเวณศีรษะและใบหน้าเป็นอันดับสุดท้าย
ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้แชมพูเข้าปากและตาของเจ้ายอร์คกี้ จากนั้นล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะนำไปเป่าขนให้แห้งด้วยไดร์เป่าที่ใช้ความร้อนพอเหมาะ เสร็จแล้วจึงใช้แปรงหวีขนเบา ๆ ซึ่งการแแปรงขนให้ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันสำหรับสุนัขพันธุ์นี้
ส่วนเรื่องอาหารการกินของสุนัขยอร์คเชียร์ ควรจะเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา ในลูกสุนัขควรเลือกอาหารสูตรลูกสุนัข ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง แต่สำหรับยอร์คกี้ ที่โตแล้ว อาจเลือกอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ประมาณร้อยละ 20 ก็เพียงพอ และอาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้

9. ปักกิ่ง
ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง
ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย
นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด
อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์
การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง
ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก
และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย

10. บีเกิ้ล
ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อย ๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วยนะ แถมมันยังติดอันดับหนึ่งในสิบสุนัขที่มีความนิยมมากว่า 30 ปี และเป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่นิยมในอเมริกา ใน U.K.C. ของสหรัฐอเมริกา
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล
บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า
นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็ก ๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดี ๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ
การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล
แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน
ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน
ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็จะเป็นไปตามช่วงวัยนั่นเอง

น้องหมาสายพันธุ์ชิสุ เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่เหล่าคนรักสุนัขนิยมเลี้ยงเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากเป็นน้องหมาที่มีรูปร่างเล็ก ตากลมโต ขนยาวสวย สง่างาม เป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ จึงทำให้ใครหลาย ๆ คนตกหลุมรักและตัดสินใจเลี้ยงน้องหมาชิสุแสนน่ารักนี้ได้อย่างง่ายดาย ...
เทคนิคการเลี้ยงการดูแล วันนี้ ปังปอนด์ก็เลยจะชวนเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักน้องหมาสายพันธุ์ชิสุกันว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร และเรียนรู้วีธีการดูแล และรับมือไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่มักพบบ่อยในน้องหมาชิสุกันค่ะ
รู้จักสุนัขสายพันธุ์ชิสุ
ชิสุ (Shih Tzu) เป็นน้องหมาขนาดเล็กที่จัดอยู่ในกลุ่มทอย (Toy Group) มีต้นกำเนิดจากทิเบต โดยคำว่า ชิสุ (Shih Tzu) เป็นคำในภาษาจีนแปลว่า สุนัขสิงโต ซึ่งชาวทิเบตถือว่าสิงโตเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาค่ะ ชิสุเป็นสุนัขหนึ่งในสามสายพันธุ์ชั้นสูง (ชิสุ ปั๊ก ปักกิ่ง) ที่เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิจีน โดยพระทิเบตได้มอบสุนัขพันธุ์ชิสุให้จักรพรรดิจีนเป็นของกำนัล สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักนอกอาณาจักรจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1903 เริ่มจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ลักษณะโดยทั่วไปของชิสุคือ เป็นสุนัขตัวเล็ก มีขนยาวและเส้นเล็ก มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม มีความสูงประมาณ 25 - 27 เซนติเมตร มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผยสูงศักดิ์แบบขุนนาง ทั้งยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง สำหรับอายุของชิสุจะเฉลี่ยอยู่ที่ 10-16 ปีค่ะ
ชิสุ เป็นน้องหมาอารมณ์ศิลปินที่หลายครั้งพบว่า มักจะไม่เชื่อฟังเจ้าของและไม่ทำตามคำสั่งถ้าไม่อยากทำ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซะอย่างงั้น นอกจากนี้ชิสุยังพบปัญหาเรื่องสุขภาพตาและขนที่มักจะเป็นสังกะตังอยู่เป็นประจำ ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมจึงต้องเป็นคนที่มีความอดทน ใจเย็น เวลาในการดูแลเอาใจใส่สุขภาพอย่างเต็มที่ เช่น มีเวลาแปรงขน มีเวลาพาไปออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงาน มีเวลาพาน้องหมาออกไปเข้าสังคมเพื่อน้องหมาจะได้คุ้นชิน ไม่ดุ และอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายเมื่อพบเจอคนแปลกหน้าค่ะ (รู้จักข้อมูลสายพันธุ์เพิ่มเติม...)
5 ปัญหาสุขภาพที่มักพบในสุนัขสายพันธุ์ชิสุ
ปัญหาเรื่องตา
ปัญหาเรื่องตา ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับน้องหมาพันธุ์หน้าสั้นอย่าง ชิสุ เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะโครงสร้างรูปหน้าของน้องหมาชิสุจะมีลักษณะเบ้าตาตื้นกว่าปกติ ดวงตากลมโตและโปนออกมาเหมือนใส่บิ๊กอายจึงมีความเสี่ยงที่ดวงตาจะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกต่าง ๆ เช่น วิ่งชนสิ่งต่าง ๆ การเกา หรือการเล่นกับน้องหมาตัวอื่น ฯลฯ โดยอาการที่มักพบบ่อยในน้องหมาชิสุ ได้แก่ ลูกตาหลุดออกจากเบ้า โรคตาแห้ง ต่อมของหนังตาที่สามยื่นหรือโรคเชอร์รีอาย มีแผลหลุมที่กระจกตา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีปัญหาขนบริเวณใกล้ดวงตาทิ่มเข้าไปในตา ทำให้น้องหมาพยายามเกาตาและถูหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้กระจกตาระคายเคือง ทำให้เกิดการอักเสบตามมาได้
ในกรณีฉุกเฉินที่น้องหมาชิสุตาหลุดออกมา ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ได้รับอุบัติเหตุ อาทิ ถูกรถชน กระทบกระแทกอย่างแรง ตกจากที่สูง วิ่งชนวัตถุสิ่งของ โดนสุนัขตัวใหญ่กว่ากัด ผู้เลี้ยงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้โดยการ หาผ้าสะอาดที่มีเนื้อละเอียดไม่หยาบชุบน้ำแล้วเอามาหุ้มพวงของลูกตาที่หลุดออกมาทั้งหมดเอาไว้ แล้วรีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด
ในเบื้องต้นผู้เลี้ยงสามารถสังเกตอาการผิดปกติของดวงตาน้องหมาได้โดยดูจาก น้องหมาจะมีมีขี้ตามาก น้ำตาไหล ตาปิด หรี่ตา ตาบวมแดง อักเสบ ไม่กล้าสู้แสง หรือบางตัวพยายามเกาตาจนแผลรุนแรงมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนจากบาดแผลจนถึงขั้นตาบอดได้ค่ะ (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคตากับบทความ 6 อาการ ที่บ่งบอกว่า น้องหมา(กำลัง)ป่วยด้วย "โรคตา")
การดูแล
ถึงแม้ว่าผู้เลี้ยงจะไม่สามารถปกป้องดวงตาของน้องหมาได้ตลอดเวลา แต่ก็สามารถสังเกตอาการผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดวงตาที่ดีต้องสดใสเป็นประกาย ไม่มีขี้ตามาก ไม่แฉะ และไม่แดง ผู้เลี้ยงควรทำความสะอาดตาของน้องหมาด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดรอบดวงตาเบา ๆ และใช้ผ้าแห้งหรือสำลีเช็ดผิวหนังบริเวณใกล้เคียงให้แห้ง เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียที่จะนำไปสู่การติดเชื้อยีสต์ หรือเชื้อรา
หากพบดวงตาน้องหมามีความผิดปกติ เช่น มีขี้ตาเยอะดวงตาตาขุ่น ตาหรือรอบตาบวมแดง หรือน้องหมาเกาตา ก็ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจดูอาการในทันที เพราะดวงตาของน้องหมาเป็นอวัยวะบอบบางและสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตของน้องหมาค่ะ ส่วนสำหรับวิธีการถนอมดวงตาน้องหมาให้มีสุขภาพดีห่างไกลโรคก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ผู้เลี้ยงต้องมีความระมัดระวังและดูแลดวงตาน้องหมาอย่างใกล้ชิด เช่น เวลาอาบน้ำผู้เลี้ยงต้องระวังอย่าให้แชมพู เข้าตาน้องหมา แต่ให้ใช้วิธีใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดบริเวณใบหน้าและรอบ ๆ ดวงตาแทน หลีกเลี่ยงการให้น้องหมาอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละออง หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ดวงตาน้องหมาได้รับบาดเจ็บได้ แยกเลี้ยงน้องหมาที่ไม่ถูกกันหรือมักกัดกันเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจทำให้ดวงตาเกิดความเสียหาย เล็มขนบริเวณรอบ ๆ ดวงตาที่ยาวเกินไป เพื่อป้องกันขนทิ่มดวงตาที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ มอบอาหารบำรุงดวงตาให้น้องหมา เช่น วิตามินซี วิตามินอี ลูทีนและซีแซนทีนที่ได้จากไข่แดง วิตามินเอ ได้จากอาหารจำพวก ตับไก่ ตับหมู ไข่แดง แครอท ฟักทอง ฯลฯ
ปัญหาเรื่องผิวหนังและขน
เป็นอีกหนึ่งปัญหายอดฮิตที่มักเกิดกับน้องหมาชิสุ ก็คงจะหนีไม่พ้น ปัญหาเรื่องของผิวหนังและขน เพราะน้องหมาชิสุเป็นน้องหมาที่ขึ้นชื่อเรื่องมีผิวหนังที่บอบบางค่อนข้างแห้ง และเกิดการแพ้ได้ง่าย จึงต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ในการบำรุงผิวหนังให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แถมชิสุยังมีเส้นขนที่เล็กบาง ยาว จึงทำให้ขนพันกัน เกิดคราบเหลืองและเกิดเป็นสังกะตังได้ง่าย โดยมากจะพบปัญหาตามจุดสำคัญ ๆ ของร่างกาย เช่น ขนบริเวณรอบดวงตา รอบปาก หลัง ก้น หาง หลังหู ใต้ท้อง รวมถึงจุดสำคัญที่ผู้เลี้ยงมักมองข้ามไปคือ ขนบริเวณอุ้งเท้าที่น้องหมามักจะเหยียบไปในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เฉอะแฉะจึงทำให้เกิดความอับชื้น ... ซึ่งขนตามจุดต่างๆ นี้ มักพบว่าขนจะพันกันจนกลายเป็นสังกะตัง หรืออาจเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีและอาจเกิดผิวหนังอักเสบ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอค่ะ
นอกจากนี้แล้ว น้องหมาชิสุยังพบปัญหาคราบน้ำตาสะสมบริเวณใต้ตาจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดงทีทำให้น้องหมาชิสุตัวขาวแสนน่ารักกลายเป็นน้องหมาหมดสง่าราศีแถมเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ (กลายเป็นน้องหมาหน้าเหม็น) ซึ่งเจ้าคราบเหลืองบริเวณใต้ตานี้เกิดได้จากหลายปัจจัย บางรายเกิดจากมีน้ำตาไหลเยอะตามธรรมชาติ แต่สาเหตุหลัก ๆ มักเกิดจากเชื้อยีสต์ชนิด Red Yeast ที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เปียกชื้น หมักหมม (น้ำตาของน้องหมา) ซึ่งยีสต์ชนิดนี้จะทำปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดคราบสีแดงเข้มอมน้ำตาลเกาะที่ขน ใต้ตา รวมถึงอาจเกิดจากท่อน้ำตาอุดตันก็ได้ค่ะ ฉะนั้น ผู้เลี้ยงจึงต้องคอยหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด โดยควรเช็ดให้แห้งเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย หรือเชื้อยีสต์ค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ ขนน้องหมากับปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม...)
การดูแล
ปัญหาเรื่อง ขน สำหรับน้องหมาชิสุถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้เลี้ยงไม่ควรละเลยค่ะ เพราะว่าน้องหมาชิสุเป็นน้องหมาขนยาวที่มีโอกาสที่ขนจะเป็นสังกะตังได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ โดยวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขนพันกันเป็นสังกะตัง และผิวหนังอักเสบนั้น ผู้เลี้ยงสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ผู้เลี้ยงหมั่นสังเกตลักษณะเส้นขนของน้องหมาเป็นประจำ โดยจับน้องหมามาวางบนโต๊ะ หรือเก้าอี้ แล้วตรวจสอบขนรอบตัวน้องหมาว่ามีจุดไหนบ้างที่เริ่มเกิดเป็นปม ถ้าหากเจอเศษกิ่งไม้ ใบไม้ ก็ให้หยิบออกทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ขนเป็นสังกะตัง หรืออาจจะตัดขนน้องหมาให้สั้นก็จะทำให้ดูแลง่าย และไม่เป็นสังกะตังแน่นอนค่ะ
สำหรับการอาบน้ำ ผู้เลี้ยงควรอาบอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และเลือกใช้แชมพูที่มีสารสกัดธรรมชาติที่อ่อนโยนต่อผิวหนังที่บอบบางของน้องหมาชิสุ เช่น น้ำมันมะกอก ที่ช่วยบำรุงผิวบำรุงเส้นขนให้เงางาม สารสกัดจากเปลือกสน ที่ช่วยกระตุ้นต่อมไขมันให้สร้างน้ำมันออกมาเคลือบเส้นขนและผิวหนังให้ชุ่มชื้นได้มากขึ้น ว่านหางจระเข้ ช่วยต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ และหลังจากน้องหมาอาบน้ำเสร็จ ผู้เลี้ยงต้องใช้ไดร์เป่าขนน้องหมาจนแห้งสนิท โดยไม่ควรปล่อยให้ขนน้องหมาแห้งเอง เพราะจะทำให้ขนจับตัวเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งอาจกลายเป็นสังกะตังได้ และหมั่นแปรงขนนองหมาเป็นประจำ เพื่อขนจะได้เรียงตัวสวยเงางามค่ะ รวมถึงผู้เลี้ยงควรใช้ครีมนวด หรือสเปรย์ที่มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้ขนพันกันมาฉีดพ่นที่ขนน้องหมาก่อนแปรงขนก็จะช่วยให้ขนน้องหมาเงางาม นิ่ม ไม่พันกันค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ กลเม็ดเคล็ด(ไม่)ลับอาบน้ำสุนัขขนยาว)
สำหรับการจัดแต่งทรงขน ผู้เลี้ยงควรหวีขนและใช้ยางมัดผมขนาดเล็กสำหรับสุนัขที่หาซื้อได้ตามร้านเพ็ทช็อปมามัดเพื่อป้องกันไม่ให้ขนทิ่มตาน้องหมา โดยแบ่งขนเป็นช่อเล็ก ๆ แล้วมัดให้เป็นทรงต่าง ๆ (ไม่ควรใช้ยางมัดผมเส้นหน้าของคนมัดให้น้องหมาเพราะจะทำให้เส้นยางดึงขนน้องหมาจนเกิดการอักเสบได้ )
ส่วนเรื่องของการให้อาหารก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อขนของน้องหมาเช่นกัน ผู้เลี้ยงควรให้อาหาร 2 ครั้งต่อวัน และอาหารที่ให้ควรเป็นอาหารสำเร็จรูปแบบเม็ดสูตรบำรุงขน หรืออาจจะเสริมด้วยน้ำมันปลา มากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะชิสุมีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะและมีกลิ่นปากได้ค่ะ
ปัญหาเรื่องช่องหู
เรียกได้ว่า ชิสุ เป็นน้องหมาสายพันธุ์หนึ่งที่พบปัญหาของช่องหูมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ เพราะช่องหูของชิสุมีลักษณะหูพับลงและมีขนในช่องหูมาก อีกทั้งหูยังมีความชื้นสูง ทำให้การระบายน้ำและสิ่งสกปรกต่าง ๆ และการไหลเวียนของอากาศทำได้ไม่ค่อยดีนัก จึงมีแนวโน้มที่จะมีการติดเชื้อในช่องหูได้หลากหลาย ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ และไรในหู ซึ่งโรคในช่องหูที่มักพบในน้องหมาชิสุ ได้แก่ โรคหูน้ำหนวก โรคช่องหูส่วนนอกอักเสบ ฯลฯ โดยน้องหมาที่มีการติดเชื้อในหูจะแสดงอาการในเบื้องต้นคือ สั่นศีรษะ สะบัดหัวบ่อย พยายามเกาหู มีขี้หูสีเข้ม หูมีกลิ่นเหม็น มีของเหลวสีเหลือง น้ำตาล หรือของเหลวปนเลือดไหลซึมออกมา เดินวน หรือในบางรายก็อาจมีการทรงตัวผิดปกติก็มีค่ะ ถ้าหากน้องหมาที่แสดงอาการเหล่านี้บ่อย ๆ มากกว่า 5-10 ครั้งต่อวัน ผู้เลี้ยงก็ควรพาน้องหมาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ เพราะหากน้องหมาเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษาก็จะเกิดการอักเสบและกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังที่รักษาได้ยาก หรือในบางรายก็อาจจะต้องใช้วิธีศัลยกรรมตัดช่องหูเลยล่ะค่ะ ซึ่งเจ้าของก็ควรหมั่นทำความสะอาดหูของน้องหมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการป้องกันดีกว่ามาแก้ไขในภายหลังที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างมากค่ะ (อ่านบทความเพิ่มเติม 4 วิธีรับมือปัญหาช่องหูส่วนนอกอักเสบในสุนัข)
การดูแล
สำหรับการดูแลช่องหูน้องหมาชิสุให้มีสุขภาพดีห่างไกลปัญหาโรคหูต่าง ๆ มีหัวใจที่สำคัญอยู่ที่คือ ความสะอาด ผู้เลี้ยงควรดึงขนภายในช่องหูที่มีอยู่มากออกเป็นประจำ โดยอาจจะทำสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และตัดขนรอบ ๆ หู เพื่อช่วยให้อากาศสามารถไหลเวียนเข้าไปได้มากขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดความอับชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของโรคในช่องหูต่าง ๆ รวมถึงหลังอาบน้ำทุกครั้ง ผู้เลี้ยงควรทำให้น้องหมาสงบนิ่งก่อน และยินยอมให้ทำความสะอาดช่องหูแต่โดยดี เริ่มทำความสะอาดช่องหูน้องหมาโดยการใส่น้ำยาสำหรับทำความสะอาดหูลงไปในช่องหู บีบนวดบริเวณโคนหูประมาณ 20-30 วินาที เพื่อทำให้ขี้หูอ่อนนุ่มและหลุดออกมา จากนั้นจึงเช็ดเอาขี้หูที่หลุดออกและใช้ก้านไม้พันด้วยสำลีชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดช่องหูจนไม่พบว่ามีขี้หูหลงเหลืออยู่ในช่องหูอีก ห้ามแทงหรือปั่นหูน้องหมานะคะ แต่ให้ใช้การเช็ดในลักษณะตักขึ้นมาแทนค่ะ
สำหรับน้องหมาที่พบปัญหาช่องหู สัตวแพทย์จะรักษาตามอาการ สาเหตุของปัญหาและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยจะให้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนยาต้านเชื้อราจะใช้สำหรับการติดเชื้อยีสต์ การให้ยากลูโคคอร์ติคอร์ย เช่น เด็กซาเมธาโซนมักจะใช้เพื่อลดการอักเสบในช่องหู (ยาหยอด หรือยากิน) กรณีปัญหาช่องหูที่เกิดมาจากโรคอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางฮอร์โมน หรือการแพ้ จะต้องให้การรักษาน้องหมาทั้งตัว ไม่เฉพาะแต่ช่องหู เช่น การเสริมฮอร์โมน หรือตรวจทดสอบการแพ้ เป็นต้นค่ะ
ปัญหาเรื่องช่องปากและฟัน
ตามรายงานของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า น้องหมาที่มีอายุมากกว่า 3 ปี มากถึงร้อยละ 85 มักเป็นโรคเหงือกอักเสบ และจะยิ่งพบมากขึ้นเมื่อน้องหมามีอายุเพิ่มขึ้น และในประเทศออสเตรเลียมีรายงานพบว่า มีน้องหมาที่ป่วยเป็นโรคเหงือกอักเสบ มากถึงร้อยละ 95 ซึ่งสืบเนื่องมาจาก ไม่ได้รับการดูแลใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากและฟันจากเจ้าของสุนัข ...
ซึ่งน้องหมาชิสุก็ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มักพบปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องด้วยลักษณะของใบหน้าที่สั้น แบน และกรามบนสั้นกว่ากรามล่าง ทำให้ฟันล่างยื่น ฟันไม่สบกัน เกิดเป็นฟันซ้อนและในบางตัวมีซี่ฟันห่างกันจึงทำให้เศษอาหารต่าง ๆ ที่ผู้เลี้ยงให้น้องหมากินไม่ว่าจะเป็นอาหารปรุงสุก หรืออาหารเปียก มักจะเข้าไปติดและหลงเหลือเศษอาหารอยู่ตามซอกฟันของน้องหมา ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและแคลเซียมที่บริเวณฟันจนเกิดเป็นหินน้ำลาย และหากไม่มีการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี หินน้ำลายจะเกิดการก่อตัวเป็นหินปูนเกาะตามฟันซี่ต่าง ๆ จนเกิดกลิ่นปาก เมื่อเชื้อแบคทีเรียมากขึ้นจะส่งผลให้เนื้อเยื่อปริทันต์อักเสบ เกิดการทำลายเยื่อบุผิวฟันและเนื้อเยื่อรอบฟัน รวมทั้งทำให้เกิดการสลายของกระดูกเบ้าฟัน ในรายที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อปริทันต์รุนแรงอาจทำให้กรามหัก หรือเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ และเสียชีวิตได้ในที่สุด (อ่านเพิ่มเติม "ปริทันต์" โรคร้ายที่(อาจ)เกิดในช่องปากสุนัข)
ดังนั้น หากผู้เลี้ยงไม่อยากให้น้องหมาชิสุแสนน่ารักเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจดูแล และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันให้กับน้องหมาเป็นประจำทุกวันนะคะ ...
การดูแล
ฟันของน้องหมาก็เหมือนกับฟันของคนเรา ที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่ดีของช่องปากและฟัน ซึ่งการดูแลฟันของน้องหมาให้ขาวสวย และไร้กลิ่นปากเป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงสามารถทำได้ง่าย ๆ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาเหล่านี้คือ การไม่ละเลยการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ด้วยการแปรงฟันและลิ้นให้น้องหมาทุกวัน ซึ่งการแปรงฟันจะช่วยชะลอการเกิดคราบหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก รวมถึงโรคปริทันต์ในน้องหมาค่ะ และสำหรับการเลือกยาสีฟัน ผู้เลี้ยงควรเลือกยาสีฟันที่ผลิตมาเพื่อน้องหมาโดยเฉพาะ และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำยาสีฟันของคนมาใช้กับน้องหมา เนื่องจากยาสีฟันของคนมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่เป็นอันตรายกับน้องหมา และถูกผลิตมาเพื่อให้บ้วนทิ้งและห้ามกลืนกิน ซึ่งน้องหมาไม่สามารถบ้วนยาสีฟันทิ้งและอาจจะกลืนยาสีฟันเข้าไปจนเกิดการสะสมก่อให้เป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคนิ่ว ได้ค่ะ (รู้ไหม? น้องหมาก็ต้องแปรงฟันเหมือนกันนะ)
นอกจากนี้ผู้เลี้ยงควรพาน้องหมาไปตรวจสุขภาพช่องปากกับสัตวแพทย์เป็นประจำทุกปี รวมถึงผู้เลี้ยงควรหาของเล่นที่ช่วยขัดฟันและบริหารฟันให้น้องหมา เช่น ของเล่นที่ทำจากเชือกผ้าที่ออกแบบมาเพื่อช่วยขัดฟัน ขูดลอกเอาคราบแบคทีเรียออก ซึ่งเป็นการป้องกันคราบหินปูนสะสม รวมถึงควรให้อาหารสุนัขแบบเม็ดกับน้องหมาเพื่อช่วยลดปัญหาการสะสมแบคทีเรียอีกทางหนึ่งค่ะ
ปัญหาเรื่องทางเดินหายใจ
น้องหมาของเพื่อน ๆ เคยหายใจเสียงดังคลืดคลาด นอนกรนส่งเสียงดังในคอ หรือหายใจเข้าช้ากว่าหายใจออกหรือเปล่าคะ? ... แน่นอนว่า อาการที่กล่าวมาต้องเคยเกิดกับน้องหมา ชิสุ ซึ่งเป็นน้องหมาในกลุ่มหน้าสั้นที่มักจะมีแนวโน้มในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นั่นก็เพราะว่า น้องหมาชิสุมีลักษณะการหายใจแบบเฉพาะ และอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการกรองอากาศในจมูกจะสั้นกว่าน้องหมาที่มีโครงหน้ายาว จึงเกิดการระคายเคืองหรือรับสิ่งแปลกปลอมในอากาศเข้าไปได้ง่ายกว่า โดยน้องหมาชิสุมักพบปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ รูจมูกตีบแคบ ที่เป็นลักษณะความผิดปกติของปลายหรือปีกจมูกที่แคบเกินไป ทำให้รูจมูกตีบแคบ ปิดบังทางเข้าออกของอากาศขณะหายใจ ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก สัตวแพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนบางส่วนออก เพื่อขยายให้ช่องจมูกกว้างขึ้นค่ะ โรคกล่องเสียงตีบ ที่เกิดจากการที่ส่วนกระดูกอ่อนของกล่องเสียงอ่อนตัวลง ทำให้รูปร่างของกล่องเสียงเสีย ปิดกลั้นทางเข้าออกของอากาศ สามารถรักษาโดยการผ่าตัด และโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่นเดียวกับน้องหมาหน้าสั้นทั่วไป ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความ 5 ปัญหาสุขภาพของหมาพันธุ์ (เล็ก) หน้าสั้น
การดูแล
สำหรับการดูแลน้องหมาเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจ ผู้เลี้ยงสามารถทำได้คือหลีกเลี่ยงการให้น้องหมาอยู่หรือนอนในห้องที่มีความชื้นสูง มีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือให้น้องหมาอยู่ในที่ที่มีฝุ่นละอองเยอะ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วคือ น้องหมาชิสุหรือน้องหมาสายพันธุ์หน้าสั้นจะรับสิ่งแปลกปลอมในอากาศเข้าไปได้ง่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปรบกวนระบบทางเดินหายใจของน้องหมาจนทำให้น้องหมาเกิดโรคต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้
นอกจากนี้ผู้เลี้ยงก็ไม่ควรให้น้องหมาอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง หรือออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ และอาจทำให้เกิดภาวะลมแดด (Heat stroke) ได้ง่าย ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิร่างกายสูง หอบ น้ำลายไหล หายใจแรง และอาจช็อคได้ค่ะ
สำหรับเรื่องการหายใจแรงและนอนกรน ในน้องหมาชิสุหลายตัวก็ถือเป็นเรื่องปกติและไม่เป็นปัญหาต่อการดำรงชีวิตอยู่ แต่ผู้เลี้ยงก็ควรสังเกตลักษณะการหายใจของน้องหมาอยู่เสมอ ถ้าหากเกิดความผิดปกติที่รุนแรงขึ้น เช่น หอบมาก มีอาการไอ มีน้ำมูกข้น ก็ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการอย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของน้องหมานะคะ
5 ปัญหาสุขภาพที่กล่าวไปในข้างต้นสามารถเกิดขึ้นกับน้องหมาชิสุแสนน่ารักของเพื่อน ๆ ได้ทุกตัว แต่เพื่อน ๆ ก็สามารถป้องกันและลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการและโรคต่าง ๆ เพียงแค่เพื่อน ๆ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับน้องหมาและวิธีการป้องกันพร้อมใส่ใจดูแลน้องหมาอย่างใกล้ชิด สม่ำเสมอ เพียงเท่านี้น้องหมาของเพื่อน ๆ ก็จะห่างไกลโรคไปได้เยอะแล้วล่ะค่ะ ^______^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)